5 เคล็ดลับเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ บริหารต้นทุนให้ได้กำไรง่าย ๆ
5 เคล็ดลับบริหารต้นทุนให้ได้กำไรเพื่อคนเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์
การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้าและการบริการต่อลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่พ่อค้าแม่ค้าที่เปิดร้านค้าออนไลน์ยังต้องรู้จักวิธีบริหารต้นทุนอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ซึ่งถึงแม้ว่าการขายของออนไลน์จะไม่ต้องเสียค่าเช่าที่และไม่มีค่าใช้จ่ายหน้าร้านให้ต้องกังวลใจ แต่อย่าลืมว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าทำธุรกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหนก็ย่อมมีเรื่องของต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่แฝงมาอยู่ในรายจ่ายอยู่ดี ซึ่งสำหรับใครที่อยากเริ่มเปิดร้านออนไลน์ แต่ยังไม่รู้ว่าต้องบริหารต้นทุนอย่างไรให้ได้กำไรในอนาคต หรือยังไม่แน่ใจว่าการทำธุรกิจออนไลน์มีต้นทุนในส่วนไหนบ้าง ที่นี่มีคำตอบ!
- เช็กรายจ่ายเกี่ยวกับสินค้า
ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ หรือ ธุรกิจรูปแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมี “สินค้า” ที่สามารถจำหน่ายได้ทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากคุณภาพของสินค้าแล้ว เจ้าของธุรกิจอย่างเรา ๆ ยังต้องพิจารณาต้นทุนของสินค้าประกอบกันไปด้วย โดยทั่วไปแล้ว ต้นทุนของสินค้าแต่ละชิ้นจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
1. ต้นทุนของตัวสินค้าเองไม่ว่าจะผลิตสินค้าเองหรือไม่ ต้นทุนที่มาจากตัวสินค้าเองก็มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เป็นหลัก เช่น ประเภทและราคาวัสดุ เครื่องจักรที่ใช้ผลิต ราคาในท้องตลาด ตลอดจนแรงงานที่ใช้ทำตัวสินค้า
โดยหากใครต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เป็นแบบซื้อของมาเพื่อขายทำกำไรต่อ และอยากบริหารต้นทุนในส่วนนี้ให้ลงตัว การติดต่อซื้อสินค้าจากแหล่งผลิตใหญ่จะช่วยลดต้นทุนของสินค้าลงได้ แต่อย่างไรก็ดี ก่อนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า อย่าลืมเช็กทิศทางกลุ่มลูกค้า วิธีทำการตลาด ตลอดจนรายละเอียดของแพลตฟอร์มที่จะขายก่อน เพราะในบางครั้งการสั่งสินค้าจากแหล่งผลิตใหญ่ก็ต้องแลกมากับการสั่งผลิตในจำนวนที่สูง ซึ่งหากไม่เช็กรายละเอียดให้ดีอาจทำให้ “ของกอง” และ “ทุนจม” ในอนาคตได้เช่นกัน
2. ต้นทุนเรื่องการทำสต๊อกสินค้า
นอกจากต้นทุนในตัวสินค้าแล้ว พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยังต้องเช็กต้นทุนที่เกิดจากการเก็บสต๊อกของด้วยเช่นกัน โดยการทำสต๊อกสินค้านี้จะมีต้นทุนอยู่ที่ค่าเช่าโกดัง ค่าขนส่งจากแหล่งผลิตมายังโกดังเก็บสินค้า ค่าน้ำมันในการไปรับสินค้าด้วยตัวเอง ค่าเดินทาง ไปจนถึงค่าน้ำค่าไฟในการเก็บรักษาสินค้าแบบต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ เจ้าของธุรกิจหลายคนมักลืมที่จะนำต้นทุนในส่วนนี้มาคำนวณ จนทำให้เกิดปัญหาว่า “เงินบางส่วนหายไปไหน” หากใครกำลังจะเปิดร้านค้าออนไลน์ แต่ไม่อยากมีปัญหาตามมาและต้องการบริหารงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมเช็กต้นทุนในส่วนนี้ให้ดี
2. วางแผนค่าการตลาดให้ดี
นอกจากต้นทุนในส่วนของสินค้าแล้ว การเปิดร้านค้าออนไลน์ให้ได้กำไรยังต้องพิจารณาถึงวิธีการทำการตลาดที่เหมาะสมในแต่ละแพลตฟอร์ม โดยแพลตฟอร์มการขายที่แตกต่างกัน นอกจากจะมีวิธีการทำคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนกันแล้ว การลงโฆษณาก็จะมีรายละเอียด รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น เจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาถึงแนวทางการตลาด และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้ดี เพราะหากยิ่งหว่านแหไปลงกลุ่มเป้าหมายกว้างมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการทำการตลาดก็จะยิ่งสูงขึ้น
ไม่เพียงแต่ค่าโฆษณาเท่านั้น การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังมีต้นทุนในเรื่องของอุปกรณ์เสริมการขายรวมอยู่ด้วย เช่น หากธุรกิจไหนเน้นไลฟ์ขายของ ก็จำเป็นที่จะต้องมีกล้องที่สามารถไลฟ์สดได้ มีไฟและริงไลท์สีต่าง ๆ รวมถึงต้องมีไมโครโฟนคุณภาพดีเพื่อตอบโจทย์การขาย นอกจากนี้ หากธุรกิจไหนเน้นทำคอนเทนต์ภาพนิ่งออนไลน์ ก็ยังมีต้นทุนเรื่องของกล้องถ่ายภาพ รวมถึงโปรแกรมแต่งรูปเพื่อเสริมการขายเช่นกัน ดังนั้น หากต้องการบริหารต้นทุนธุรกิจเพื่อหาช่องสร้างกำไร อย่าลืมนำค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นี้เข้าไปด้วย
3. อย่าเพิ่งจัดโปรส่งฟรี หากยังไม่ได้ดูค่าพัสดุและการขนส่ง
จริงอยู่ว่า การทำโปรโมชันส่งฟรี และ การรวมค่าส่งเอาไว้ในค่าสินค้า ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้มากกว่าที่คิด แต่รู้หรือไม่? หากเจ้าของธุรกิจไม่คำนวณค่าพัสดุ น้ำหนักพัสดุ ราคาขนส่งแต่ละพื้นที่ ตลอดจนค่าน้ำมันที่ต้องใช้ในการนำพัสดุไปยังจุดขนส่งให้รัดกุม ค่าขนส่งเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายชิ้นใหญ่ที่ทำให้ไม่มีกำไรเหลือแม้จะมียอดขายมากก็ตาม ดังนั้น หากใครเริ่มเปิดร้านค้าออนไลน์และต้องการสร้างยอดขายจากโปรโมชันส่งฟรี เราขอแนะนำว่า อย่าลืมนำต้นทุนทุกส่วนมาคำนวณเพื่อหา “ต้นทุนเฉลี่ยในการขนส่งสำหรับทุกพื้นที่” โดยการทำเช่นนี้จะช่วยให้ทางร้านบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างกำไรอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. ดูรายละเอียดค่าตัวช่วยระบบจัดการหลังบ้านให้รอบคอบ
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ธุรกิจออนไลน์หลาย ๆ แห่งเริ่มใช้เทคโนโลยีและโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อดูแลงานหลังบ้าน เช่น แอดมินและบอทที่ช่วยตอบลูกค้า การบริหารสต๊อกออนไลน์ ไปจนถึงการใช้โปรแกรม CRM เพื่อทำโปรโมชันพิเศษให้แก่ลูกค้าแต่ละคน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว เทคโนโลยีและโปรแกรมช่วยดูแลลูกค้าและร้านนี้มักจะมีการเก็บค่าบริการรายเดือนที่แตกต่างกันไปตามขนาดของธุรกิจและฟังก์ชันการใช้งานเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ หากธุรกิจของใครมีการเติบโตอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งต้องอาศัยฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมเพิ่มขึ้น หรือธุรกิจของใครมีการเปิดร้านค้าออนไลน์ใหม่ ๆ แทบจะทุกไตรมาสก็อย่าลืมพิจารณาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย
5. เช็กสิทธิประโยชน์ค่า GP ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ดี
Gross Profit (GP) คือ ค่าบริการระบบที่เจ้าของธุรกิจต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ หรืออาจเรียกเป็นค่าเช่าที่สำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์เลยก็ว่าได้ ซึ่งค่า GP ในส่วนนี้อาจจะมีหรือไม่มีบริการเดลิเวอรีคอยให้บริการก็ได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่า GP
เฉลี่ยของแต่ละแพลตฟอร์มจะอยู่ที่ 30% - 35% แต่หากรวมภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วย ค่า GP ก็อาจพุ่งไปสูงถึง 40% - 45% ได้เลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ดี การจ่ายค่า GP ก็ไม่ได้สูญเปล่า หรือ เป็นเพียงค่าเช่าที่เฉย ๆ เนื่องจาก โดยทั่วไปแล้ว การจ่ายค่า GP มักจะได้สิทธิพิเศษอื่น ๆ ด้วย เช่น โอกาสในการโปรโมทร้าน รวมไปถึงสิทธิในการร่วมมือกับขนส่ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ถูกลงได้
ด้วยเหตุนี้ เจ้าของธุรกิจออนไลน์จึงสามารถใช้สิทธิประโยชน์ของค่า GP เพื่อถัวเฉลี่ยค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ร่วมได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าลืมนำค่า GP ทั้งหมดมาคำนวณในส่วนของต้นทุนเพื่อหาช่องทางสร้างกำไรให้ธุรกิจตัวเองด้วย
จะเห็นได้ว่า ถึงการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์จะมาพร้อมกับต้นทุนหลายด้าน แต่เจ้าของธุรกิจก็สามารถบริหารค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อสร้างผลกำไรได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี การเปิดร้านค้าออนไลน์ในหลาย ๆ แพลตฟอร์มก็มาพร้อมกับต้นทุนก้อนใหญ่อย่างค่า GP และค่าคอมมิชชันที่ต้องนำมาหักลบกับผลกำไรที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่สำหรับแพลตฟอร์มอย่าง LINE SHOPPING แล้ว เจ้าของธุรกิจทุกคนสามารถเริ่มเปิดร้านออนไลน์ได้ตามความต้องการ โดยไม่ต้องเสียค่า GP และคอมมิชชันตลอดการขาย มั่นใจ! ได้กำไรเต็มที่ ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง
