- กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าด้วย Me Too Marketing ปังจริงหรือพัง
กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าด้วย Me Too Marketing ปังจริงหรือพัง
วิธีดึงดูดลูกค้าแบบ Me Too Marketing เพิ่มยอดขายได้อย่างไร?
Me Too Marketing เป็นหนึ่งในวิธีดึงดูดลูกค้าที่รู้จักสินค้าประเภทนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้หันมาซื้อสินค้าของเรา เป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไป ไม่จำกัดว่าจะเป็นแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ Me Too Marketing ว่ามีจุดเด่นเป็นอย่างไร และช่วยให้สินค้าของเราขายดีมากขึ้นหรือไม่ และมีจุดด้อยอะไร เหมาะกับใครบ้าง เรามาดูกันเลย
Me Too Marketing คืออะไร
กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าแบบ Me Too Marketing ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลยุทธ์ “เธอทำอะไร ฉันทำด้วย” เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในการดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อสินค้าของเรา โดยทำตามแบรนด์ใหญ่หรือเจ้าใหญ่ ขายสินค้าแบบเดียวกัน ชนิดเดียวกัน รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน เช่น ยาคูลต์กับบีทาเก้น แอปเปิลทีวีกับเน็ตฟลิกซ์ โตเกียวบานาน่ากับเลอแปงบานาน่า หรือจะเป็นกลยุทธ์การขายอย่างกล่องสุ่ม กล่องตัก หรืออื่น ๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งใน Me Too Marketing ด้วยกันทั้งนั้น
หากว่าเราลองสังเกตอย่างจริงจังจะพบว่า เราสามารถเห็นกลยุทธ์ Me Too Marketing ได้ทุกธุรกิจ และทุกหย่อมหญ้าในตลาด อย่างช่วงหนึ่งที่เราพบว่าทุกร้านขนมหวานขายครัวซองต์กันทุกร้าน หรือมีช่วงหนึ่งที่มีร้านโรตีชาชักหลากหลายแบรนด์อยู่ทั่วทุกมุมถนน
สำหรับสินค้าที่มักจะใช้กลยุทธ์นี้มักจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม เครื่องดื่ม แชมพู สบู่ สกินแคร์ เครื่องปรุง ไปจนถึงแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มต่าง ๆ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเสียง และอื่น ๆ อีกมากมาย
หลายคนอาจจะมองว่าสินค้าที่เลียนแบบ อย่างไรก็สู้แบรนด์ที่คิดค้นมาเจ้าแรกไม่ได้ แต่การไม่ได้เป็นเจ้าตลาด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเลย อีกทั้งการเพิ่มคู่แข่งในตลาดสินค้า คนที่ได้เปรียบที่สุดก็คือ ผู้บริโภค ซึ่งสามารถเลือกสินค้าที่ดีที่สุด ในราคาที่พึงพอใจที่สุดนั่นเอง
เหตุผลที่หลายคนเลือกทำกลยุทธ์ Me Too Marketing
แม้รู้ว่าตนเองจะเสียเปรียบ หรือเป็นผู้ตามในตลาด แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าแบบ Me Too Marketing ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
มีคนลุยตลาดมาก่อนหน้านี้แล้ว
การเปิดตลาดใหม่แต่ละครั้ง จะต้องลงทุนลงแรงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนาสินค้า การสำรวจตลาดและความคิดเห็นของลูกค้า รวมถึงการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้ามากมาย ซึ่งใช้กำลังคนและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เปรียบได้กับการถางพงหญ้าสร้างเป็นทางเดิน คนแรก ๆ ก็ต้องลงแรงมากหน่อย แต่คนที่เดินตามแม้จะไม่มีใครจำได้มากเท่า แต่ก็ลงแรงไม่มาก ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และที่สำคัญคือ มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยกว่าอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น ร้านสะดวกซัก ที่เราเห็นมากมายดังเช่นทุกวันนี้ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนอาจจะไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะคนจำนวนมากคิดว่าทำไมเราต้องมาเสียเงินอบผ้า ทั้ง ๆ ที่แดดเมืองไทยสามารถตากผ้าแห้งได้อย่างรวดเร็ว แต่การซื้อเครื่องซักผ้าและอบผ้าคุณภาพเยี่ยม บวกกับชีวิตในเมืองที่อยู่ตามคอนโดหรือหอพัก ซึ่งมีพื้นที่ในการตากผ้าน้อย ทำให้หลายคนเลือกที่จะซักและอบผ้าในร้านสะดวกซัก เสียเวลาเพียง 1 ชั่วโมง สามารถทำให้ผ้าสะอาดและเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว จนทำให้ทุกวันนี้มีแบรนด์สะดวกซักเกิดขึ้นมากมาย และได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
เจาะตลาดง่ายกว่า ไม่ต้องคิดมาก
หากว่าเราพูดถึง “ชาเขียว” เราจะสามารถนึกถึงรสชาติและมนต์เสน่ห์ได้ขึ้นมาในหัว แต่ถ้าเป็นในช่วงที่เรายังไม่รู้จักชาเขียว หรือประโยชน์ของชาเขียวมาก่อนเลยล่ะ เราจะซื้อชาเขียวหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ แบรนด์แรก ๆ ที่ทำสินค้าเกี่ยวกับชาเขียว จึงไม่เพียงแต่ต้องให้ลูกค้าจำแบรนด์ของตนเองได้ แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษและประโยชน์ของชาเขียว รวมถึงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายคนหลงใหล แต่คนที่ทำตาม อาจจะแค่ทำให้ลูกค้ารู้ว่า แบรนด์นี้ขายชาเขียวคุณภาพดีก็อาจจะเพียงพอ แถมยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนสนใจการดื่มชาเขียวให้ไปเจาะตลาดอยู่แล้วอีกด้วย
ต่อยอดได้เลย ไม่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก
เมื่อผู้นำหรือ Leader ได้ถางหญ้าถางพงให้แล้ว สิ่งที่ผู้ตามต้องทำ อาจจะไม่ใช่แค่เดินตาม แต่เป็นการสร้างทางที่เดินง่ายให้แก่ตัวเองยิ่งขึ้น ด้วยการต่อยอดสินค้าใหม่ ๆ เช่น การออกครัวซองต์รสชาติใหม่ ๆ แทนรสชาติแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ หากว่าในตลาดยังไม่มีแบรนด์ที่เป็นผู้นำอย่างแท้จริง หรือที่เรียกกันว่า Top of Mind การเข้าไปในตลาดก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและแซงหน้าเป็นผู้นำได้ง่ายยิ่งขึ้น
จุดอ่อนของ Me Too Marketing
แน่นอนว่าแม้วิธีดึงดูดลูกค้าแบบ Me Too Marketing จะได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดได้ แต่แบรนด์ที่ตามหลังจะไม่ค่อยเป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะแบรนด์ที่ไม่ได้พัฒนาสินค้า หรือแพ็กเกจให้แตกต่างจากแบรนด์ผู้นำ ทำให้หลายแบรนด์จึงเลือกใช้วิธีลดราคา และคุณภาพลง เพื่อดึงดูดลูกค้าคนละกลุ่มนั่นเอง
กลยุทธ์เปลี่ยนผู้ตามเป็นแบรนด์ของเรา
หากว่าเราใช้วิธีดึงดูดลูกค้าแบบทำตามคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะก้าวมาเป็นผู้นำในท้ายที่สุดไม่ได้ ลองดูโค้กกับเป๊ปซี่ แอปเปิลกับซัมซุง แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะต้องวางกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนผู้ตามในระยะแรกให้กลายเป็นคู่แข่งทางการค้า โดยมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
- ดึงดูดลูกค้าใหม่ให้อยู่กับเรา โดยอาจจะเสนอโปรโมชันที่น่าสนใจ หรือบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจมาซื้อสินค้าและบริการจากเรา
- พัฒนาสินค้าหรือต่อยอดให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเราเอง เช่น ขนมครอฟเฟิล ที่เป็นลูกครึ่งของครัวซองต์กับวอฟเฟิล
- ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เมื่อแบรนด์หรือร้านค้าของเราเป็นที่รู้จัก เราอาจจะออกสินค้าอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีตามท้องตลาดมาก่อนให้ดึงดูดใจลูกค้าได้มากกว่า
ที่จริงแล้ววิธีดึงดูดลูกค้าแบบ Me Too ไม่ว่าจะเน้นไปที่ตัวสินค้า บริการ หรือกลยุทธ์ เป็นวิธีที่ใช้โดยทั่วไปและร้านค้าเล็ก ๆ นิยมใช้ โดยพยายามจับกระแสแล้วขายสินค้าตามผู้นำ และเปลี่ยนสินค้าไปเรื่อย ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว หากว่าต้องการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน การพัฒนาสินค้าหรือต่อยอดสินค้าของตนเองก็ยังเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน
หากว่าใครที่กำลังมองหากลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า Me Too Marketing ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ แล้วอย่าลืมใช้ LINE SHOPPING เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยดึงดูดลูกค้า และใช้ MyShop ในการช่วยบริหารจัดการร้านค้าและออร์เดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น