เทคนิคแค็ปชันสร้างยอดปัง อยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ต้องรู้

 

เปิดร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ให้ปัง พร้อมมัดใจลูกค้านี่สิที่เรียกว่า โจทย์ยาก เพราะขนาดทำได้ดีตั้งแต่คุณภาพสินค้าไปจนถึงการบริการ แต่ยอดซื้อขายกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง แถมลูกค้าก็ไม่มีส่วนร่วมกับโพสต์ เลื่อนหนีไปเสียอย่างนั้น สาเหตุง่าย ๆ ก็เป็นเพราะแค็ปชันที่ยังไม่มีอิมแพคมากพอจะดึงดูดความสนใจ แต่ไม่เป็นไร! เพราะบทความนี้มีเทคนิคการเขียนแค็ปชันดี ๆ ที่คนอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ต้องรู้มาฝากกัน

 

ใช้ความเข้าใจ เขียนบรรยายสินค้าให้คนเข้าถึงได้ง่าย ๆ

 

จัดเป็นหัวข้อต้น ๆ เกี่ยวกับ “ความผิดพลาดของการเขียนแค็ปชัน” ที่เกิดจากการมองข้ามจุดสำคัญใกล้ตัว ต้องไม่ลืมว่า สินค้าคือสิ่งที่เราอยากจะขาย และลูกค้าก็ต้องการรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสนใจ มากกว่าการบรรยายไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยิบจุดขายที่ผ่านการทำความเข้าใจมาอย่างดีขึ้นมาพูด 

 

โดยเทคนิคง่าย ๆ ที่คนอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ต้องเริ่มทำ ก่อนเขียนแค็ปชันให้ซัดตรงเป้า เข้าเต็มจุดที่ต้องการเสนอ คือ

 

• ศึกษาลักษณะภายนอกของสินค้า ดีไซน์ และความสวยงาม
• ศึกษาฟังก์ชัน เข้าใจให้ลึกซึ้งว่าสินค้าชิ้นนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่ออะไร ใช้แก้ปัญหาอะไรได้
• ศึกษาจุดแข็ง อาทิ ความคงทนต่อการใช้งาน วัสดุที่เหนือกว่า เหนืออย่างไร ต้องบอกให้เคลียร์

 

ในส่วนของการเขียนแค็ปชันแบบไหนที่มือใหม่ต้องระวัง เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหวนั้น เห็นจะเป็นการเปรียบเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกัน และเอ่ยถึงคู่แข่ง รวมไปถึงการเขียนบรรยายสรรพคุณการใช้งานเกินจริง ที่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้อาจย้อนกลับมาทำให้ตกม้าตาย หากสินค้าที่คนซื้อได้ไปไม่ดีจริงอย่างที่เคลมเอาไว้

 

เน้นสิทธิประโยชน์ เขียนแบบตะโกนบอกให้ลูกค้าหยุดอ่าน

 

ลักษณะการเขียนแค็ปชันขายสินค้าบนสื่อโซเชียลนั้น ค่อนข้างมีอิสระ ทั้งการใช้ภาษาและสำนวนคำพูด แตกต่างจากการเขียนบนเว็บไซต์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ ยิ่งกับคนที่อยากทำธุรกิจขายของออนไลน์บนแพลตฟอร์มยอดนิยมต่าง ๆ ด้วยแล้ว ความสร้างสรรค์ด้านสำนวนการเขียนจะช่วยดึงดูดใจลูกค้าให้หยุดอ่านได้เป็นอย่างดี

 

ในจุดนี้ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น เขียนถึงสิทธิประโยชน์ที่อาจจะดูเป็นเรื่องทางการ ให้ย่อยง่าย แต่เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่ลูกค้าจะได้หลังจากซื้อสินค้าชิ้นนี้กับร้านของคุณไปนั้นคืออะไร โดยมีเทคนิคที่ใช้กัน ดังนี้

 

• สิทธิประโยชน์ด้านการใช้งาน : กรณีที่มีการขายสินค้ารุ่นใหม่ที่มีลักษณะการใช้งานครอบคลุมรุ่นเดิม แต่มีความแตกต่างเรื่องวัสดุ สเป็ก ความทนทาน หรือฟังก์ชันที่เหนือกว่า ในส่วนนี้ต้องอธิบายให้ดี เน้นความเหนือที่เพิ่มขึ้น คุ้มอย่างไรหากลูกค้าจะต้องเสียเงินที่มากกว่า แลกกับสินค้ารุ่นใหม่นี้
• สิทธิประโยชน์ด้านราคาคุ้มค่า : ความพิเศษที่ลูกค้าจะได้รับ หากคุณเป็นหนึ่งคนที่อยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ การทำแคมเปญการตลาดถือเป็นสิ่งที่ควรเปิดใจยอมลงทุน เพื่อแลกกับความซื่อสัตย์และยอดขายที่มั่นคงระยะยาว อาจประกาศบอกลูกค้าให้ชัดว่าเป็นสมาชิกกับเราดีอย่างไร หรือซื้อซ้ำกับเราคุ้มแค่ไหน ย้ำให้บ่อย บอกให้ตรงพอยต์ รับรองว่าช่วยเพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าได้อย่างแน่นอน
• สิทธิประโยชน์ด้านการบริการ : ในส่วนที่มีบริการเสริม ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุง การดูแลหลังการขาย หรือบริการติดตั้ง ส่งสินค้าแบบถึงที่ บริการพวกนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการได้เป็นอย่างดี

 

จะเห็นได้ว่าสิทธิประโยชน์มีหลากหลายเทคนิคมาก ๆ ที่จะช่วยให้คนที่อยากทำธุรกิจขายของออนไลน์สามารถเขียนแค็ปชันแบบตะโกน ป่าวประกาศถึงความพิเศษเหนือใครที่ลูกค้าจะได้รับ ในกรณีนี้อาจจะต้องพ่วงไปถึงการวางแผนทำคอนเทนต์ เพื่อลงโพสต์ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จะได้วางแพลนถูกว่าโพสต์ไหนจะเน้นเรื่องอะไร เพื่อบอกสิทธิประโยชน์ด้านไหนให้เจาะลึก ครอบคลุมลูกค้าได้มากที่สุดนั่นเอง 

 

สื่อสารผ่านความเป็นตัวตน เปิดเผยอย่างจริงใจสร้างการจดจำ

 

กำหนด Tone of Voice หรือสำนวนการเล่าเรื่องให้แก่ร้านค้า อาจอ้างอิงจากกลุ่มเป้าหมาย และคนที่สนใจ ก่อนจะวาดภาพคร่าว ๆ ถึงคนเล่าคอนเทนต์หลังคีย์บอร์ด ควรจะมีบุคลิกภาพประมาณไหน อายุเท่าไหร่ และมีลักษณะนิสัยอย่างไร เพื่อทำการเขียนแค็ปชันให้สื่อสารได้อย่างถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมาย

  อาทิ หากคุณอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์เกี่ยวกับอุปกรณ์แสงสว่าง ทั้งยังมีกลุ่มลูกค้าเอนเอียงไปทางผู้รับเหมา โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 27-40 ปี และเป็นเพศชายมากกว่า การกำหนด Tone of Voice อาจเลือกเป็นผู้ชายอายุ 35 ปี ที่ดูภูมิฐาน และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไฟฟ้า รู้ลึก รู้จริงอย่างเข้าใจ พร้อมบอกเล่าผ่านแค็ปชันการขายของ หรือ ฺBranding ออกมาได้อย่างชัดเจนนั่นเอง

 

อย่าลืม Call To Action ชักจูงให้เกิดการซื้อขาย

 

อีกหนึ่งเทคนิคเพิ่มยอดขายให้คนอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์แบบยอดปัง คือการเขียนบรรยายด้วยเทคนิคการ Call To Action ใช้คำสื่อถึงการกระทำ ชักจูงลูกค้ามีส่วนร่วมกับโพสต์นั้น ๆ โดยจะใช้วัตถุประสงค์เป็นตัวกำหนดกลุ่มคำ ดังนี้

 

• ต้องการยื่นข้อเสนอ : ทดลองใช้ฟรี, ลงทะเบียนฟรี, คลิกเลย, คลิกรับส่วนลด
• ต้องการกระตุ้นการขาย : หยิบใส่ตะกร้า, ช้อปเลย, ซื้อตอนนี้, ที่สุดท้าย จองเลย!
• ชักชวนให้เข้าร่วม : พูดคุยกับเรา, แชตกับเรา, ดาวน์โหลด, ดูข้อมูลเพิ่มเติม

 

หัวใจสำคัญของเทคนิคนี้ไม่ได้มีความยุ่งยากอะไรมาก คิดเสียว่าเป็นการปิดจ็อบโพสต์ โดยสื่อสารให้กระชับ บอกสิ่งที่อยากให้ลูกค้าทำ หรืออยากให้เกิดกับโพสต์นี้ไปแบบตรง ๆ เพื่อให้คนอ่านตื่นตัวและสนใจ ทั้งยังโดนชักจูงด้วยคำพูดให้มีส่วนร่วมกับโพสต์ได้อย่างง่ายดาย

 

 รายละเอียดช่องทางการซื้อขายต้องครบ!

 

หลายครั้งที่บางร้านเองก็ลืมใส่ช่องทางการติดต่อ ส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถหาทางมาสั่งซื้อสินค้าได้ และนาน ๆ ไปอาจทำให้ลูกค้าเลือกที่จะเลื่อนผ่าน เนื่องจากไม่สามารถติดต่อได้ หรือไม่มีความสะดวกสบายมากพอต่อการซื้อขาย

 

ดังนั้นจุดสำคัญที่คนอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ต้องรีบให้ความสนใจ คือรายละเอียดของช่องทางการซื้อขาย ไม่ว่าจะมีกี่แพลตฟอร์มก็ต้องนำมาใส่ให้ครบ พร้อมแนบลิงก์ หรือทำ Linktree ฝังไว้บนไบโอ เพื่อรวบรวมช่องทางการติดต่อ เพิ่ม Conversion และ Traffic ได้มากกว่าที่คิด!

 

สำหรับมือใหม่ที่กำลังอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ แต่ไม่มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกสบายต่อการตอบแชตให้บริการลูกค้า รวมไปถึงมีหน้าร้านครบ จบในแอปพลิเคชันเดียว ลองมาใช้บริการ LINE SHOPPING แพลตฟอร์มที่จะช่วยเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์การขายบนร้านค้าออนไลน์ที่ครบครัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคุยแบบเรียลไทม์ พร้อมเปิดขายได้ฟรีอย่าง MyShop 

 

บอกเลยว่าสมัครง่าย แค่เปิดบัญชี LINE OA ก็พร้อมให้คนที่อยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ ได้เข้าถึงเครื่องมือบริหารร้านค้าได้แบบทันที สมัครวันนี้ก็เริ่มได้เลย!