เจาะลึกการตลาดแบบญี่ปุ่น ทำไมถึงครองใจคนซื้อทั่วโลก

webclip.png
25 Mar 2022

รูปแบบการตลาดในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามผู้บริโภค ทั้งกลยุทธ์การตลาดผ่านการสร้างคอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ อีเมล โซเชียลมีเดีย หรืออื่นๆ โดยการตลาดแต่ละแบบนั้นก็ต้องนำไปปรับใช้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจ ความคิดเห็น และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปเช่นกัน เพื่อให้สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ในตอนนี้ก็มีการตลาดแบบหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น คือ “การตลาดแบบญี่ปุ่น” LINE SHOPPING จึงขอชวนมารู้จักกับการตลาดชนิดนี้ ว่าคืออะไร มีดีอย่างไร และต่างจากการตลาดในไทยอย่างไรกันครับ

การตลาดแบบญี่ปุ่น เน้นคุณค่า

เชื่อว่าหลายๆ คนอาจเคยได้เห็นหรืออุดหนุนแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นกันมาบ้างแล้ว ซึ่งต้องบอกว่า สินค้าหรือแบรนด์จากญี่ปุ่นนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างไปจากของไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพการให้บริการ ตัวสินค้าที่ให้ประโยชน์รอบด้าน และความใส่ใจในรายละเอียดขั้นสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆ ก็ต้องถูกใจสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะธุรกิจญี่ปุ่นต่างใส่ใจในการตลาดที่เน้นให้ “คุณค่า” นั่นเองครับ

การตลาดแบบญี่ปุ่น 4 ข้อที่ครองใจลูกค้า

เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนถึงการเน้นคุณค่าของธุรกิจญี่ปุ่น ขอยกตัวอย่าง การตลาดแบบญี่ปุ่น 4S Marketing ที่ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแบบญี่ปุ่นได้ระบุไว้ มาแชร์ให้เจ้าของธุรกิจได้ทราบกันครับ ดังนี้

1. Simple ความเรียบง่ายและคลาสสิก

ความ Simple หรือความเรียบง่าย มักเป็นเอกลักษณ์แรกๆ ที่สามารถสัมผัสได้จากสินค้าญี่ปุ่น สังเกตได้จากแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง MUJI ที่มีสินค้าหลายชนิด แต่ทั้งหมดล้วนให้ความเรียบง่าย อาจไม่ได้รู้สึกสะดุดตา หรือโดดเด่นมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นนี้จะช่วยให้สามารถดูได้นาน ไม่เบื่อ อีกทั้งยังนำไปดัดแปลงเป็นสไตล์ที่เราชอบได้ด้วย อย่างวลีว่า “Simplicity to Imagination” หรือความเรียบง่ายนำไปสู่จินตนาการครับ

2. Small Details ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ

ด้วยพฤติกรรมคนญี่ปุ่นที่เคร่งครัดเป็นระเบียบ จึงทำให้เกิดความเอาใจใส่สินค้าอย่างมาก โดยเฉพาะในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะมองข้ามไป แต่ก็สามารถสัมผัสได้ เช่น กระเป๋าทำงานญี่ปุ่นที่ผลิตออกมาเพื่อมนุษย์เงินเดือนของญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางโดยใช้รถไฟ ถึงกระเป๋าจะดูเรียบง่าย แต่มีพื้นที่เก็บของเยอะ มีซิปขนาดใหญ่เปิด-ปิดง่าย อีกทั้งมีช่องใส่ขวดน้ำ จึงตอบโจทย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางไปทำงานตลอด เป็นต้น

3. Story เรื่องราวคือคุณค่า

การใช้เรื่องราวเพื่อทำการตลาดหรือ Content Marketing นั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งในตลาดไทย ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นเรื่องของสรรพคุณหรือข้อดีของสินค้า แต่ในญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึก ความพิเศษของสินค้า หรือเรื่องราวอันลึกซึ้ง จึงทำให้เข้าถึงอารมณ์ของผู้บริโภคได้ดี สร้างความประทับใจ และการจดจำให้กับลูกค้าได้ง่ายกว่า

4. Selfless คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง

นิสัยและพฤติกรรมคนญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งที่หลายคนยกย่อง เพราะมีความอ่อนโยน สุภาพ เป็นระเบียบ ซึ่งสะท้อนออกมาในสินค้าได้เป็นอย่างดี การดีไซน์สินค้าแต่ละชิ้นจะมีการคิดคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก ที่ต้องสะดวกและช่วยแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ ในด้านการบริการ ธุรกิจญี่ปุ่นนั้นจะให้ความใส่ใจกับลูกค้าเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นแก้ปัญหาหรือเรื่องกังวลใจได้เลยทีเดียว

ทั้ง 4 ข้อนี้ก็เป็นพื้นฐานแนวคิดการตลาดแบบญี่ปุ่น ซึ่งในตอนนี้ก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุง โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทรนด์การตลาดญี่ปุ่นที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ “เรื่องการแบ่งกลุ่มตลาด (Market Segmentation)” นั่นเองครับ 

ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มตลาดสไตล์ญี่ปุ่น

ผู้ที่เริ่มทำธุรกิจหรือขายของออนไลน์คงทราบดีถึงการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามช่วงอายุ เพศ ความสนใจ ที่อยู่ อาชีพ ฯลฯ ซึ่งการตลาดแบบญี่ปุ่นจะมีการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ลึกลงไปจนถึงระดับ Niche Market เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ตลาด Arasa (อาราซา)  เป็นชื่อที่นักการตลาดญี่ปุ่นตั้งชื่อเพื่อเรียกกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงาน จนเกิดเป็นสินค้าที่ตอบโจย์กลุ่มนี้โดยเฉพาะ อาทิ เสื้อผ้าแบบ Arasa หรือ อาหารสำหรับผู้หญิงในกลุ่ม Arasa

การตลาดแบบไทย VS การตลาดแบบญี่ปุ่น

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจพอจะทราบถึงความแตกต่างในมุมมองการตลาดระหว่างไทยกับญี่ปุ่นบ้างแล้ว ซึ่งยังมองว่าการตลาดแบบไทยมีจุดเด่นที่ความคิดสร้างสรรค์และความสนุก เน้นการโปรโมทและสื่อสารโดยอาศัยความไวรัล (Viral) ผ่านการโฆษณาและอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ 

ในขณะที่ญี่ปุ่นจะยังคงอยู่ในกรอบมากกว่าและเน้น “คุณค่าของสินค้า” และ “ความต้องการของลูกค้า” เป็นที่สุด อีกทั้งยังมองไปถึงกลุ่มตลาดแบบเฉพาะเจาะจงหรือ Niche Market อีกด้วย

 

สรุปแล้ว การตลาดสไตล์ญี่ปุ่นนั้นจะให้ความสำคัญกับคุณค่าของสินค้า กลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงจะทำการตลาดที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง พ่อค้าแม่ขายและผู้ทำธุรกิจที่สนใจก็สามารถนำแนวทางเหล่านี้ ไปปรับใช้กับธุรกิจตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นครับ

ส่วนพ่อค้าแม่ขายออนไลน์ที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มคุณภาพ เพื่อเพิ่มยอดขายของร้านค้า ขอแนะนำ LINE SHOPPING ที่มาพร้อมเครื่องมือช่วยบริหารร้านค้าแบบครบวงจรอย่าง “MyShop” ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ อย่างเช่น ระบบนับสต็อกสินค้าแบบ Real Time ตัดสินค้าตามเวลาจริง, ระบบ Flex Message ที่คอยตอบรับคำสั่งซื้อลูกค้าแบบอัตโนมัติ, มี Storefront สร้างเว็บขายของออนไลน์ฟรีเป็นของตัวเอง สามารถนำเว็บขายของฟรีนี้ไปแชร์ยังโซเชียลมีเดียต่างๆ เพิ่มช่องทางในการขาย สามารถติดตามสถานะออเดอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ และรองรับการชำระเงินได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะโอนเงิน จ่ายผ่านบัตรเครดิต เก็บเงินปลายทาง หรือจ่ายผ่าน Rabbit LINE Pay โดยไม่ต้องสลับแอปฯ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์แบบไหนก็เริ่มทำธุรกิจและเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์ม LINE SHOPPING ได้ง่ายๆ

เพียงมี LINE OA สามารถเปิดบัญชี MyShop ได้ฟรี ที่ lineshoppingseller.com

เปิดร้านขายบน LINE SHOPPING ได้แล้ววันนี้

ต่อยอดการขายด้วย MyShop เครื่องมือตัวช่วยจัดการร้านค้าจาก LINE

บทความที่เกี่ยวข้อง
my-shop-logo

ตัวช่วยการขายที่ทุกร้านค้าออนไลน์ต้องมี

MyShop Download on the App Store MyShop Get it on Google Play

© LY Corporation 2023